[MARKMIN] :: Keep Going (Omegaverse) :: 5 #ficclfs #keepgoingmm
- 97melancholy
- Mar 2, 2019
- 1 min read
เจนีนถูกนำทางมายังห้องทำงานขนาดใหญ่ที่กินพื้นที่เกือบทั้งชั้น 33 ของตึก LP Corporation เมื่อได้ยื่น Golden Card ให้กับ Receptionist เพียงไม่นานเขาก็เข้ามานั่งรออยู่ในห้องทำงานขนาดใหญ่ที่เจ้าของห้องกำลังทำธุระอยู่อีกที่หนึ่งตามคำบอกเล่าของพนักงาน
เจนีนนั่งลงบนโซฟานุ่มสีกรมท่าที่จัดเข้าชุดกับพรมสีขาวและโต๊ะกระจกขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ บนโต๊ะมีแจกันที่ประดับด้วยดอกคาร์เนชันสีชมพูแดงแต่งแซมด้วยช่อของดอกลิลลี่ออฟวัลเลย์สีขาว ก่อนที่พนักงานจะนำเครื่องดื่มและขนมรับรองที่เป็นคาราเมลมัคคีอาโต้และเรดเวลเวทชิฟฟ่อนเค้กมากเสิร์ฟก่อนจะเดินจากไป
ร่างบางมองสำรวจไปรอบๆห้องทำงานที่เป็นกระจกโปร่งใสมองเห็นทัศนียภาพทั่วเมืองแวนคูเวอร์ ภายในห้องตกแต่งแบบสมัยใหม่และสีที่ตัดกันของสีกรมท่า ขาว และเทาเข้ม
ร่างเล็กก้มลงมองมือของตัวเองที่สั่นไหวด้วยความประหม่าและกังวล มือเรียวสวยเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแม้ว่าจะรู้สึกหนาวจนรู้สึกชา
ตอนนี้เกือบจะ 10 โมงเช้าแล้ว นับตั้งแต่ที่ร่างบางมาที่นี่ ตอนนี้ก็กินเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง 16 นาทีแล้วที่เขานั่งรออยู่ภายในด้วยความประหม่า
ทั้งประหม่าและกังวลที่จะได้เจอกับพ่อของตนที่นอกจากตามข่าวในโทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ หรือนิตยสาร เจนีนก็ไม่เคยได้พบเจอพ่อของเขาเลยสักครั้ง อีกทั้ง เขาเองก็ปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่ากำลังรู้สึกประหม่าและตื่นเต้นกับคนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่ชะตาของเขา เพราะก็ผ่านมาเกือบ 20 วันแล้วหลังจากคืนนั้นที่มีอะไรกัน เขาและร่างสูงก็ไม่มีโอกาสได้พบเจอกันอีกเลย
เจนีนนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเป็ยการฆ่าเวลาและเพื่อไม่ตัวเองประหม่าจนเกินไปก่อนจะถูกขัดด้วยเสียงเคาะประตูพร้อมพนักงานที่นำทางเขามาในห้องที่เดินเข้ามาพร้อมกับโทรศัพท์ในมือ
"ขอประทานโทษนะคะ คุณเลพเพิร์ดต้องการสนทนากับคุณค่ะ"
ร่างบางรับโทรศัพท์จากพนักงานสาวพร้อมกับพยักหน้าให้เชิงเป็นการขอบคุณเธอเองก็ยิ้มกลับมาก่อนจะเดินออกไป
"สวัสดีครับ"
'คุณเจนีน?'
"ครับ คุณเลพเพิร์ด"
'ผมต้องขอโทษด้วยสำหรับวันนี้ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระที่ไหนต่อหรือเปล่าครับ'
"ไม่มีครับ"
'ผมต้องขอโทษที่ต้องบอกคุณแบบนี้ แต่นัดของคุณจะถูกเลื่อนไปเป็นตอนเย็นหลังจากที่การเจรจาของวันนี้เสร็จสิ้นลง' ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
"ไม่เป็นไรครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปทำธุระข้างนอกก่อน"
'เกรงว่าจะไม่ได้ครับ อีกหนึ่งเหตุผลที่ผมนัดคุณตั้งแต่เช้าเพราะผมได้ให้ลูกน้องสืบประวัติคุณเรียบร้อยแล้ว ต้องขอโทษที่ทำไปแบบนั้น แต่มันเป็นเรื่องจำเป็น และจากข้อมูลที่ผมได้มานั้น มันทำให้ผมได้ทราบว่าคุณกำลังถูกจับตามองอยู่ และคิดว่าคนที่กำลังตามคุณอยู่นั้นคงไม่พ้นต้นตระกูลของคุณ'
"ครับ เรื่องนี้ผมทราบดี แต่ไม่เป็น..."
'เป็นครับ ที่ผ่านมาคุณปลอดภัยก็เพราะว่าคุณไม่ได้ละเมิดกฎหรือทำผิด แต่ในครั้งนี้คุณกำลังละเมิดกฎที่ทางตระกูลคุณตั้งไว้ และจากข้อมูลที่ผมได้มา กลุ่มคนที่กำลังจับตามองอยู่นั้น ถ้าไม่ใช่มือปืนรับจ้าง ก็เป็นอดีตเจ้าหน้าที่หน่วยรบพิเศษของรัสเซีย'
ร่างบางเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความกังวลใจ ใช่ว่าเจนีนจะไม่รู้ว่าเขาถูกจับตามองมาตลอดอายุ 28 ปี แต่ที่เขายังปลอดภัยเพราะเขาไม่เคยผิดกฎของตระกูลสูงส่งนั่น แต่ในครั้งนี้มันไม่ใช่เพราะเขากำลังจะแหกกฎข้อสำคัญที่ว่าเขาและพ่อห้ามพบเจอกันเด็ดขาด
'ถ้าหากคุณเบื่อหรือง่วงนอน เดินตรงไปที่หลังโต๊ะทำงานผม คุณจะเห็นเครื่องสแกนลายนิ้วมือและม่านตา ผมได้สั่งให้หน่วยความปลอดภัยใส่ข้อมูลของคุณลงไปแล้วระบบแล้วเมื่อตอนคุณลงทะเบียนเมื่อเช้า สิ่งที่คุณต้องทำจึงมีเพีบงสแกนลายนิ้วมือและม่านตาของคุณ ข้างในจะเป็นห้องนอนของผม คุณสามารถนอนหลับฆ่าเวลาได้ แต่ถ้าหากคุณเบื่อ ก็เปิดดูโทรทัศน์หรือจะเล่นคอมฯก็ได้ ขอแค่คุณไม่ขยับหรือเคลื่อนย้ายของๆผมเป็นพอ'
เจนีนฟังคนปลายสายพูดขณะเดินไปยังหลังโต๊ะทำงานของร่างสูงก็ได้พบเขากับอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับสแกนลายนิ้วมือและม่านตาติดตั้งอยู่ เจนีนสแกนลายนิ้วมือและม่านตาของตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆเพื่อมองสำรวจไปรอบๆห้องพักขนาดใหญ่ที่สไตล์การตกเต้นเหมือนกับในห้องทำงานทุกอย่างทั้งรูปแบบสไตล์ที่ตกแต่ง รวมไปถึงโทนสีที่ใช้ก็ล้วนแต่เหมือนกัน
"ผมเข้ามาแล้วนะครับ แต่..." ร่างบางเอ่ยบอกกับคนปลายสายก่อนจะเงียบไปสักพัก
'หื้ม?'
"ทำไมคุณไว้ใจผมถึงขนาดนี้ครับ" เจนีนเอ่ยถามไปด้วยความแปลกใจ เพราะคนอย่างมาร์ติน เลพเพิร์ดที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจที่เก่งและฉลาดอันดับต้นๆของโลกไม่น่าจะไว้ใจกับใครได้ง่ายขนาดนี้ แต่ร่างบางก็ต้องแปลกใจเข้าไปใหญ่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังออกมาจากอีกฝ่าย
'เราแยกจากกันไม่ได้หรอกครับ' มาร์ตินกล่าว 'หรือคุณจะปฏิเสธล่ะครับว่าตลอดเกือบ 20 วันมานี้คุณไม่คิดถึงผม หรือไม่ได้ยินความคิดของผม'
เป็นจริงอย่างที่อีกฝ่ายว่า เพราะตลอด 10 กว่าวันที่ผ่านมาไม่มีวันไหนที่เจนีนจะไม่คิดถึงอีกฝ่ายเลย แม้จะพยายามไม่คิด ไม่สนใจ แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี มันเป็นไปเอง ซึ่งเขาไม่สามารถควบคุมอะไรได้ แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่เจนีนเผลอคิดอะไรกับตัวเองแต่กลับได้รับคำตอบจากอีกฝ่ายกลับมา มันช่างน่าอาย
"คุณ!" เจนีนร้องเสียงแหว
'ครับ'
"หึ้ย! ไม่คุยด้วยแล้ว" เจนีนกระทืบเท้าด้วยความขัดใจอย่างลืมตัว ก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงหลังกว้างอย่างขัดใจโดยที่ไม่ได้รู้ไม่ว่าเจ้าของห้องกำลังมองอยู่ด้วยรอยยิ้มและพยายามกลั้นขำ
"ผมจะนอนแล้ว คุณเสร็จธุระแล้วค่อยบอกผมก็แล้วกันครับ" ร่างบางพูดขณะกำลังขยับกายขึ้นไปนอนบนเตียงดีๆ พร่อมกับที่แทนกกายเข้าไปในผ้าห่มนุ่มสีกรมท่าที่มีกลิ่นหอมของแผ่นกระดาษของเจ้าของห้องทำให้ร่างบางหลับได้โดยง่าย
สืบเนื่องจากเมื่อคืนเขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นและประหม่า ทำให้เมื่อได้กลิ่นหอมของเจ้าของห้องที่รู้สึกสบายและราวกับกำลังถูกปกป้องอยู่นั้น ทำให้คนที่อดนอนมาทั้งคืนหลับสนิทได้โดยง่ายเพียงแค่หลับตาลงโดยที่ยังไม่ได้กดตัดสายเลยด้วยซ้ำ
การกระทำต่างๆของร่างบางอยู่ในสายตามาร์ตินอยู่ตลอดตั้งแต่จากกล้อง CCTV ที่คนตัวเล็กเข้ามาภายในบริษัท จนนั่งอยู่ในห้องทำงานเขา และตอนนี้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงของเขาผ่านทางสายตาของเขาโดยตรง
มาร์ตินยืนมองคนตัวเล็กอยู่ตรงประตูห้องอย่างเงียบๆอยู่ราวๆ 5 นาทีก่อนจะเดินเข้าไปใกล้แล้วมอบจุมพิตลงบนกลุ่มผมนุ่มอย่างแผ่วเบาแล้วผละออก จัดผ้าห่มให้แล้วเดินออกไปจากห้องเพื่อติดต่อธุรกิจกับมิสเตอร์เจย์

เจนีนถูกปลุกในเวลาเกือบ 6 โมงเย็นด้วยฝีมือของเจ้าของห้องที่โทรศัพท์เข้ามาที่โทรศัพท์ที่ร่างบางได้รับจากพนักงานว่าให้เตรียมตัว เพราะเจนีนมีเวลาแค่ 10 นาทีเท่านั้นก่อนที่คนที่กำลังจับตามองเจนีนอยู่จะสงสัย
ร่างบางรีบเข้าไปจัดการตัวเองในห้องน้ำให้เรียบร้อยแล้วออกมานั่งรอที่โซฟาตัวเดิมกับเมื่อตอนเช้าที่ตนได้เข้ามานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
คนตัวเล็กรู้สึกหิวนิดๆเพราะเมื่อตอนเที่ยงเขาเลือกที่นอนแทนที่จะทานอาหารที่พนักงานคนเดิมนำมาให้จึงทำให้ตอนนี้ร่างบางเริ่มจะปวดท้องขึ้นมาแล้ว แต่ความหิวและอาการปวดท้องมันก็ไม่ได้สำคัญไปกว่าความรู้สึกประหม่าและตื่นเต้น ความกังวลและความกลัวที่ผสมปนเปกันจนมั่วไปหมดในหัวของร่างบาง
พ่อจะรู้จักเขาไหม
พ่อจะจำเขาได้หรือเปล่า
พ่อจะรักเขาบ้างไหม
เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัวของร่างบางจนตอนนี้เรียกได้ว่าเจนีนกำลังจะเสียสติเพราะความรู้สึกและคำถามมากมายที่เกิดขึ้นอยู่ในหัว เวลาที่ผ่านไปเพียง 1 นาที มันกลับทำให้ร่างบางรู้สึกว่ามันนานนับชั่วโมง แต่แล้ว เสียงพูดคุยของคนสองคนที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนานก็ดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆจนมีคนเปิดประตูเข้ามา
"ลุงเจย์ครับ ความจริงแล้วมีคนอยากเจอลุงน่ะครับ" มาร์ตินพูดด้วยรอยยิ้ม
"หือ? ใครกันล่ะเจ้ามาร์ค ทำไมถึงได้ไล่ทุกคนออกไปแบบ..." ไม่ทันที่ชายวัยกลางคนที่ยังดูยังหนุ่มยังแน่นจะเอ่ยจบประโยคก็เกิดความเงียบขึ้นอย่างฉับพลันในทันทีที่มิสเตอร์ได้สบตาเข้ากับดวงตากลมโตเป็นประกายที่เขาแสนจะคุ้นเคยเพราะนั่นเป็นดวงตาของคนรักของเขาที่ตอนนี้ได้จากไปแล้ว นอกจากนี้มันยังเป็นดวงตาของลูกชายของเขาที่เขาเองเฝ้าดูแลอย่างห่วงใหญ่อยู่ตลอดเวลา
"พะ... พ่อครับ" เจนีนเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นไหว พร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
ทั้งห้องเงียบสนิท ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ก่อนที่ความเงียบในห้องจะถูกทำลายลงด้วยเสียงสะอื้นไห้ของคนที่อายุน้อยที่สุดในห้องที่ดังออกมาหลังจากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเจ้าตัวเรียบเดินเข้าหาแล้วดึงร่างบางเข้าไปกอดจนจมอก
"แจมิน... ลูกสบายดีใช่ไหม" มิสเตอร์เจย์เอ่ยถามลูกชายขณะกอดลูกชายเอาไว้แน่นมือหนาก็คอยลูบกลุ่มผสมนุ่มพร้อมทั้งกดจูบลงไปบนขมับของร่างบางอย่างรักใคร่และคิดถึง
"ฮึก... สบายดีครับ พ่อล่ะครับ" เจนีนเอ่ยถามเคล้าเสียงสะอื้น
"พ่อสบายดี พ่อขอโทษที่ปล่อยให้ลูกอยู่คนเดียว แต่ถ้าพ่อไม่ทำ ลูกก็จะตกอยู่ในอันตราย" มิสเตอร์เจย์ว่าพลางรวบกอดลูกชายแน่นแล้วโยกตัวไปมา
"ผมทราบครับ แต่ผมอยากเจอพ่อ แจมินอยากเจอพ่อบ้าง พ่อรู้ไหม แจมคิดถึงพ่อมากเลยนะ มันเหงามากเลบนะครับ ที่ต้องอยู่ตัวคนเดียวแบบนี้" เจนีนพูดพลางฝังใบหน้าลงบนแผงอกของผู้เป็นพ่อแล้วปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา
"พ่อขอโทษนะลูก พ่อขอโทษจริงๆ พ่อเองก็ทรมานที่ต้องเฝ้ามองลูกอยู่ห่างๆแบบนี้ แจมินฟังพ่อนะ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ลูกยังมีพ่อเสมอ พ่อคอยเฝ้าดูลูกอยู่เสมอ พ่อรักลูกมากนะ เพราะลูกเป็นดั่งดวงใจของพ่อกับแม่"
"ครับ แจมินก็รักพ่อ" เจนีนกระชับกอดพ่อของตนแน่นขึ้นแล้วสูดกลิ่นพีชที่คล้ายกลิ่นประจำตัวของตนอย่างเต็มปอดเพื่อเติมพลังให้กับตัวเองและเพื่อให้คลายจากความคิดถึง
"แต่ก่อนอื่น..." มิสเตอร์หันไปทางคนหนุ่มอีกคนที่เป็นลูกชายของเพื่อนสนิทของเขา "เจ้ามาร์ค ไหนเล่าให้ลุงฟังหน่อยสิ ว่าไปรู้จักกับน้องได้ยังไง"
"น้องช่วยผมกับเจสซี่เอาไว้น่ะครับ แล้วน้องก็มาขอให้ผมช่วยให้น้องได้พบกับลุง ตอนแรกผมก็ปฏิเสธแต่พอน้องบอกว่าเป็นลูกของลุง ผมก็เลยให้ลูกน้องไปสืบประวัติก็เลยรู้ว่าน้องมาจากตระกูลของลุงแต่ก็ไม่มีอะไรมายืนยันอยู่ดีว่าน้องเป็นลูกของลุงจริงๆ ตัดสินใจอยู่นานเหมือนกันครับ" มิสเตอร์เจย์พยักหน้ารับ
"อย่างนี้นี่เองสินะ"
"ครับ แต่จริงๆแล้วมีอีกเรื่องที่ผมควรบอกลุง" จบประโยคเจนีนรีบผละกายออกจากออ้มกอดของผู้เป็นแล้วหันไปส่ายหน้าเป็นสัญญาณให้กับร่างสูงและสื่อสารกันผ่านทางความคิด
'คุณ... ห้ามบอกนะ'
มาร์ตินส่งยิ้มให้กับร่างเล็ก
'ต่อไปเรียกพี่ว่าพี่มาร์คนะ น้องแจม'
"หือ? มีอะไรอีกอย่างนั้นหรอ" ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยความสงสัยเะราะสังเกตจากท่าทีของลูกชาย
"ผมกับน้อง เราเป็นคู่ชะตากันครับ"
มิสเตอร์เจย์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ มันเป็นเรื่องดีที่ลูกชายของเขาจะมีคู่ครองเป็นหลานชายที่เขารักและไว้ใจมากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันเขาเองก็กังวล
"หมายความว่ายังไง" แจฮยอนเอ่ยถามหลานชาย
"หมายความว่า..." มาร์ตอนเว้นช่วงไปแล้วหันไปส่งยิ้มให้กับคนตัวเล็กที่มองเขาด้วยความกังวล ก่อนจะหันกลับไปหาผู้เป็นลุง
"ผมอยากแต่งงานกับน้องครับ"
เกิดความเงียบขึ้นอีกครั้งพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความตกใจของเจนีนที่ตัวแข็งทื่อไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"คิดอะไรอยู่มาร์ค คิดว่าลุงจะยอมให้ลูกลุงต้องมีชะตากรรมเดัยวกับแม่ของลูกชายลุงอย่างนั้นหรือ" แจฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กลับสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจส่งผ่านออกมา
"ตระกูลของเรากับตระกูลของลุงยิ่งใหญ่พอกัน และแน่นอนว่าในตระกูลของพวกเรา โอเมก้าคือสิ่งต้องห้าม มาร์คคิดว่าลุงจะยอมให้ลูกของลุงต้องอยู่กับความทุกข์ทรมานและเจ็บปวดในตระกูลที่มีแต่อัลฟ่าเลือดบริสุทธิ์อย่างนั้นหรือ" แจฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดและห่วงใยลูกชายของเขา
"ผมทราบครับว่าตระกูลผมเป็นแบบไหน แต่ถ้าผมไม่เปลี่ยน มันก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ โอเมก้าก็มีชีวิต มีจิตใจ เขาไม่ได้ทำอะไรผิด หรือลุงคิดว่าน้องผิดล่ะครับ ที่น้องเกิดมาเป็นโอเมก้าแบบนี้"
"น้องไม่ได้ผิดที่เกิดมาเป็นโอเมก้า สิ่งที่มาร์คพูดออกมาน่ะ ว่าอยากเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าลุงหรือโทมัสพ่อของเราไม่เคยทำ ทั้งลุงและพ่อของเราเคยทำมันมาทั้งหมดแล้ว ลุงและพ่อของหลานคิดว่าถ้าแต่งงานกับโอเมก้าและมีลูกด้วยกัน กฎบ้าๆพวกนั้นมันจะหายไปจะไม่มีใครทำอะไรคนที่ลุงและพ่อของมาร์ครักได้ แต่จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลยมาร์ค เราทำลายกฎพวกนั้นไม่ได้หรอก และลุงก็รักลูกของลุงมากเกินกว่าจะยอมปล่อยให้ลูกของลุงต้องเอาตัวเองไปตายเหมือนแม่ของลูกลุง รวมไปถึงแม่ของเราด้วยมาร์ค" มาร์ตินเงียบไปด้วยความตกใจและไม่เข้าใจว่าลุงของเขาจะสื่อถึงอะไรกันแน่
"ลุงหมายความว่ายังไง"
"ลุงไม่อยากพูดหรอกนะ แต่คิดว่ามันถึงเวลาแล้วที่มาร์คควรจะได้รู้"
"มาร์ตินน่ะเป็นชื่อที่ปู่ของมาร์คตั้งให้"
"แต่ที่พ่อของเราและลุงไม่ได้เรียกเราว่ามาร์ตินนั้นน่ะ มันเป็นแม่ของมาร์คเป็นคนตั้งชื่อนี้ให้กับมาร์คก่อนที่จะจากไปเพราะถูกวางยาพิษ เหมือนกับแม่ของเจนีนลูกชายลุง ที่ความจริงแล้วชื่อของน้องคือแจมิน ตามที่แม่ของน้องได้ตั้งให้ แต่น้องยังดีกว่าที่ได้เติบโตมากับแม่ของน้องแล้วค่อยจากไปเพราะจำนวนยาพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายที่มากเกินไป ต่างจากแม่ของมาร์คที่หลังจากคลอดมาร์คแล้วรู้ว่าเราเป็นอัลฟ่า แม่ของมาร์คก็ถูกฉีดยาพิษทันที ลุงขอโทษที่มาบอกเราตอนนี้ แต่ลุงไม่อยากให้ลูกของลุงต้องตายเหมือนกับแม่ของเขาหรือแม่ของมาร์คหรอกนะ"
Comments